วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Ford Explorer เปลี่ยนโฉมมาขับหน้า

แฟนของ ฟอร์ด เอ็กซ์โพลเรอร์ ในเมืองไทย มีอยู่ระดับหนึ่ง เพราะเคยทำตลาดอยู่ 2 รุ่น เมื่อฟอร์ดจัดการเผยโฉมใหม่ หรือโมเดลเชนจ์ของ เอ็กซ์โพลเรอร์ พร้อมกับความเปลี่ยนแปลง หันมาพัฒนาบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดกลางในกลุ่ม D-Segment แทน Ford Explorer เป็น SUV ที่ฟอร์ดพัฒนาออกขายในปี 1990 โดยเป็นการดัดแปลงบนพื้นฐานของปิกอัพรุ่น เรนเจอร์ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปิกอัพขนาดกลางที่ทำตลาดต่อจากรุ่น F-150 และเป็นคนละตัวถังกับ เรนเจอร์ ที่ขายในเมืองไทย โดยฟอร์ดยึดรูปแบบเช่นนี้ ทำตลาดมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวเมื่อปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา


สิ่งที่แตกต่างออกไปจากเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหลายคือ เอ็กซ์โพลเรอร์ใหม่ถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังของเก๋งขนาดกลางอย่าง ฟอร์ด ทอรัส หรือ ลินคอล์น MKS และ MKT นั่นหมายความว่าเลย์เอาท์ในการวางเครื่องยนต์ จะเป็นแบบตามขวาง และขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาให้สัมผัสด้วย

ประเด็นหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงน่าจะมาจากการปรับปรุงบุคลิกของตัวรถให้สอดคล้องกับ ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพราะการใช้พื้นฐานลักษณะนี้ ซึ่งมีระบบกันสะเทือนหน้าแบบปีกนกคู่ SLA และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ มีจุดเด่นในเรื่องของความนุ่มนวล คล่องตัว และสมรรถนะในการยึดเกาะที่ดีกว่าเมื่อใช้งานบนทางเรียบในลักษณะออนโรด แต่ข้อเสียคือ ความทนทาน และสมบุกสมบัน เวลาขับอยู่บนเส้นทางออฟโรด
ซึ่งฟอร์ดคงมองเห็นแล้วว่าลูกค้าในปัจจุบันเน้นประโยชน์ใช้สอยทางด้านไหนมากกว่ากัน อีกทั้งการใช้

เลย์เอาท์ลักษณะนี้ ทำให้ฟอร์ดสามารถหันมาคบกับเครื่องยนต์รหัส EcoBoost ได้ และนำเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 2,000 ซีซี พร้อมระบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน และเทอร์โบมาวาง ซึ่งแม้จะมีกำลังขับเคลื่อนมากกว่าเครื่องยนต์วี6 4,000 ซีซีบล็อกเดิมด้วยตัวเลข 237 แรงม้า แต่ก็มีความประหยัดน้ำมันกว่า เพราะความจุของ กระบอกสูบที่น้อยกว่าเท่าตัว โดยในรุ่นนี้จะมีเฉพาะขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น ส่วน อีกทางเลือกเป็นเครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Ti-VCT 290 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อตลอดเวลา โดยทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะรุ่นใหม่ล่าสุด

สำหรับ การบุกตะลุยบนทางออฟโรด ฟอร์ดเผยว่ายังทำได้ดีระดับหนึ่ง และมีการนำระบบการเลือกปรับอัตราทด ในส่วนของระบบถ่ายทอดกำลังของเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อมาใช้ โดยระบบนี้ถูกเรียกว่า Terrain Management System มีลักษณะเป็นปุ่มหมุนบิด เพื่อให้ผู้ขับเลือกโหมดการกระจายกำลังตามสภาพเส้นทางข้างหน้า โดยมีทั้งแบบขับปกติ, ขับผ่านโคลน, ทราย หรือว่าหิมะไม่ต้องมานั่งเดาว่าจะใช้ 4H หรือ 4L ดี แค่ดูเส้นทางด้านหน้าว่าเป็นแบบไหน แล้วก็เลือกให้ตรงกันเป็นอันจบ ส่วนปุ่มตรงกลางกดสำหรับใช้ระบบ Hill Descent Control ควบคุมการลงจากทางลาดชันจัดๆ ด้วยความเร็วต่ำ เพื่อความปลอดภัย การผลิต เอ็กซ์โพลเรอร์ใหม่จะอยู่ที่โรงงานในเมืองชิคาโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีราคาเริ่มต้นที่ 28,190 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 930,000 บาท

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

SUV off road [Zusuki grand vitara]

แกรนด์วิทาร่ารุ่นที่ 3 นั้นเป็นรถนั่งอเนกประสงค์ (SUV) อย่างแท้จริง ที่จะทำให้คุณพบกับอิสระในการขับขี่ ให้คุณเดินทางไปได้ทุกที่ที่ต้องการ ภายใต้คอนเซปท์ “off-road athlete” เฉกเช่นนักกีฬาที่ทำการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ทุกรูปแบบ แกรนด์วิทาร่าได้ ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับทุกสภาพถนนด้วยสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการควบคุมและใช้ในเมืองได้อย่างสะดวกสบาย โดยซูซูกิได้ทุ่มเทในการถ่านทอดดีเอ็นเอวิศวกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยในการผลิต รถสปอร์ต 4x2 เพื่อให้แกรนด์วิทาร่ามีสมรรถนะของรถออฟโรดอย่างแท้จริง

รูปแบบและอุปกรณ์ต่างๆตอบสนองทุกความต้องการ ในขณะที่ความก้าวล้ำในเทคโยโลยีจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ ซูซูกิ แกรนด์วิทาร่า รุ่น 5 ประตูเหมาะสมกับกลุ่มครอบครัว ผู้ที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงผู้ที่ต้องการประโยชน์ใช้สอยและความเป็นอเนกประสงค์อย่างเต็มที่ แกรนด์วิทาร่า ... รถสำหรับผู้ที่รู้ว่าการเดินทางที่แท้จริงจะเริ่มต้นถึงเมื่อถนนสิ้นสุดลง

มาดแห่งผู้นำและสมรรถนะที่คุณสัมผัสได้ ทุกองค์ประกอบของแกรนด์วิทาร่า เป็นดั่งแชมป์นักกีฬา:
โครงสร้างที่แข็งแรงและสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยตอบสนองความต้องการในการขับ ขี่ ความยาวด้านหน้าที่ออกแบบให้กะทัดรัดและล้อ 17 นิ้ว เสริมลุคสปอร์ต หน้าล้อขนาดใหญ่และดอกยางที่ออกแบบเพื่อเสริมสร้างการยึดเกาะถนน ใหคุณมั่นใจตลอดการใช้งาน

ความหรูหราที่เหนือกาลเวลา
ทันทีที่เข้ามาที่ด้านในนั้นผู้โดยสารจะเข้ามาพบกับโลกที่เป็นโลกของ ซูซูกิแท้ๆ สัมผัสศิลป์ของการออกแบบโดยใช้สีเงินให้โดดเด่นขึ้นมาจากสีดำซึ่งเป็นสีหลัก ของการตกแต่งภายใน ผสมผสานความคลาสสิค ให้องค์ประกอบต่างๆ ภายในมีความโดดเด่น ตกแต่งพื้นผิวขอบมุมต่างๆด้วยดีไซน์โค้งมน ให้ความรู้สึกเหนือกว่ายามขับขี่ อีกทั้งช่วยลดโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บเมื่อออฟโรดได้อีกด้วย

นิยามใหม่สไตล์สปอร์ตของรถ 4 X 2
แกรนด์วิทาร่านี้เป็นรถในรุ่นที่ 3 โดยแนวคิดพื้นฐานนั้นยังคงเป็นเหมือนเดิมเช่นเดียวกับรถรุ่นแรกในปี 2531 แนวคิดนี้สามารถสรุปด้วยวลีได้ว่า “การนำสมรรถนะที่เหนือกว่ามาใส่รถแบบครอสคันทรีที่นิยมใช้ในเมือง” ในเวลาเดียวกันเป้าหมายร่วมของทีมผู้สร้างคือการผลิตรถยนต์ซึ่งสามารถยกชื่อเสียงของซูซูกิในความสามารถของการขับขี่ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “off-road athlete” จะคล้ายกับการที่นักกีฬาทำการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อตอบสนองต่อ สถานการณ์ต่างๆทุกรูปแบบ เป้าหมายนั้นมีความตรงไปตรงมาซึ่งได้แก่ การพัฒนาปรับปรุงด้านความชำนาญในทุกประเภทถนน สมรรถนะที่มีประสิทธิภาพ, มีความเป็นรถที่ใช้ในเมืองและง่ายต่อการใช้งาน ซูซูกิได้ทุ่มเทในการถ่านทอดดีเอ็นเอวิศวกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยในการผลิตรถ สปอร์ต 4x2 เพื่อให้แกรนด์วิทาร่ามีสมรรถนะ ของรถออฟ- โรดอย่างแท้จริงสมรรถนะการขับขี่บนถนนที่ได้รับการพัฒนา การเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม

คุณลักษณะในการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ที่จะช่วยรักษาความสมดุลย์ของทิศทางของแกรนด์วิทาร่าโดยอาศัยฟังก์ชั่นหลัก 3 ประการคือ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) พร้อมด้วยระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD), การควบคุมการเกาะถนนและการควบคุมความสมดุลย์ ฟังก์ ชั่นการควบคุมความสมดุลย์นั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางโดยอาศัยการเบรค ที่ล้อที่ต้องการในกรณีที่ over-steer หรือ under-steer แรงส่งของเครื่องยนต์จะถูกควบคุมในกรณีที่เกิด under-steer ในกรณีรถชน ตัวรถจะช่วยผลักแรงกระแทกของการชนกันให้ออกไปจากห้องโดยสารซึ่งมีการเสริม โครงสร้างอย่างดีเยี่ยม คันเหยียบนั้นถูกออกแบบให้ลดส่วนที่ยื่นออกมาเพื่อให้มีความเหมาะสมกับเท้า และขอบดูดซับแรงนั้นจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทุกๆ รุ่น นอกจากนี้ระบบช่วยเบรค (BA) จะช่วยในการปรับแรงดันน้ำมันเบรคให้สัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุกทำให้การเบรกมีความแม่นยำมากขึ้น
คุณลักษณะมาตรฐานและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอื่นๆ รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่ด้านหน้า SRSและเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับชนิดล็อคฉุกเฉิน (ELR)3จุดพร้อมด้วยระบบดึงกลับอัตโนมัติของเข็มขัดนิรภัย,เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับชนิดล็อคฉุกเฉิน (ELR)3จุดที่ด้านหลัง, ที่ยึดที่นั่งเด็กที่สอดคล้องตามข้อกำหนดของ ISOFIX และไฟเบรกดวงที่ 3




วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหลังการทดสอบรถ Hummer

เบื้องหลังการทดสอบสมรรถนะรถ Hummer ราคา 50,000 $ ราคาในบ้านเราประมาณ 2-3 ล้านมีสมรรถนะที่น่าสนใจดังนี้ครับ
เครื่องยนต์ เบนซิน 3,700cc L5 242 แรงม้า ใช้น้ำมัน แก๊สโซฮอลล์ 91 และ 95
เกียร์อัตโนมัต 4 สปีด พร้อมโหมดปรับระบบ เกียร์ 3 โหมดคือ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา, Up, Low
อัตราเร่ง 0-100km/h = 9.7 วินาที อัตราการกินน้ำมัน 8.26 กิโล/ลิตร ผลเป็นดังคลิปนี้ครับ



เป็นข้อคิดนะครับว่าของดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง และของแพงใช่ว่าจะดีทุกอย่าง แบบบ้านเราใช้ได้ทุกยี่ห้อแต่ต้องรู้จักดัดแปลงแต่งเติมก็หรูเริดแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

แปลงร่าง FORTUNER สิงห์สำอางค์ให้บึ๊ก!!!

รูปโฉมภายนอก ได้รับการขัดเกลาจนเคร่งขรึม ทำการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่มาเลือกใช้ของ เชิดชัย ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าแบบ STANDARD แม้จะมีน้ำหนักที่มาก แต่เมื่อเทียบกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นก็นับว่าคุ้ม ไซด์เรล เพื่อการป้องกันการกระแทกด้านข้าง รวมถึงกันชนหลังที่เป็นแบบชิ้นต่อล่าง พร้อมหูลาก ก็เลือกใช้ของเชิดชัย งานฝีมือคนไทยจากอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี อีกเช่นกัน ในเรื่องของการเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ในยามค่ำคืนที่ดียิ่งขึ้นในการเดิน ทางนอกเมือง ทาง CAR SALOON ได้ติดตั้งชุดไฟสปอตไลต์ 1 คู่ของ PIAA ในการเพิ่มแสงสว่างเพื่อการส่องนำทางการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ส่วนเจ้าจมูกของท่อไอดีที่ยื่นยาวมาทางด้านข้างของแก้มรถ เลือกติดตั้งชุดสนอร์เกิ้ลของ SAFARI เพื่อความสวยงาม และยืดท่อหายใจการดึงไอดีให้สูงขึ้น เผื่อกรณีใช้งานในการข้ามลำธาร เพิ่มเติมอุปกรณ์กู้ภัยในการดึง – ลากรถขึ้นจากอุปสรรคด้วยวินช์ไฟฟ้า WARN 9.5 XP

ขุมพลัง 1KD-FTV โมฯ เพิ่มพอตัว รองรับขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น

เพิ่มเรี่ยวแรง ให้กับ FORTUNER ตัวโตคันนี้ มีกำลังขับเคลื่อนที่จี๊ดจ๊าดกันแบบพอตัว ขุมพลังเดิมๆ ภายใต้รหัส 1KD-FTV ขนาดความจุ 3,000 ซี.ซี. 163 แรงม้า เห็นว่ามากขนาดนี้ อย่าคิดว่าพอสำหรับขนาดตัวที่บึกบึนขึ้น ถ้าจะให้อัตราเร่งดี และขับขี่สนุกเร้าใจหลังถนนดำยิ่งขึ้น งานนี้คงต้องมีการใส่ของเล่นกันหน่อย ซึ่งของเล่นที่ใส่เข้าไปก็เป็นกล่องขยายภาคสัญญาณการฉีดจ่ายเชื้อ เพลิงของ MEGA FIRE พร้อมการติดตั้ง SPEED BOOSTER เข้าไปอีกหนึ่งตัว เรียกกันว่า จากเรี่ยวแรงขนาด 163 แรงม้าที่มี ขยับแบบกระโดดพรวดไปแปะที่ 200 กว่าแรงม้าเลยทีเดียว

ระบบช่วงล่าง ด้านหลัง แม้จะยังคงเลือกใช้เสื้อเพลาชุดเดิม แต่ได้ทำการเปลี่ยนอัตราทดใหม่ให้ มีขนาดเบอร์เท่าด้านหน้า พร้อมการติดตั้งชุด AIR LOCKER ARB ไว้กับเสื้อเพลาท้ายด้วยเช่นกัน ส่วนการปรับแต่งความสูงด้านหลัง ทำการสร้างชุดดร็อปเพลาหลังขึ้นใหม่โดยฝีมือของ “ช่างเชา” แห่ง CAR SALOON คอยล์สปริงใช้ของเดิม เสริมความสูงด้วยก้อนรอง ทำงานรองรับการสั่นสะเทือนร่วมกับโช้คอัพ PROCOMP ขนาดความยาว 29 นิ้ว ส่วนเรื่องของการตะกุยพื้นของล้อทั้ง 4 ยกหน้าที่ให้ล้อกระทะของ ROCK CRAWLER ขนาด 16 X 8 นิ้ว หุ้มรัดด้วยยางขนาด 315 X 75 – 16 ของ MAXXIS

เข้ามาถึงส่วน สุดท้ายของการตกแต่ง กับภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งเพียงชุดฟร้อนท์ JVC สำหรับให้ความบันเทิง ติดตั้งชุดวิทยุสื่อสาร ว.แดง แบบโมบายของ ICOM รุ่น H133S เพื่อใช้สื่อสารระหว่างการออกทริป เพิ่มความเป็นสปอร์ตด้วยพวงมาลัยซิ่ง พร้อมติดตั้งเกจ์วัดบูสต์ HKS เพื่อสังเกตความผิดปกติของอัตราบูสต์ว่ามาก หรือน้อยเกินกว่าที่ตั้งไว้หรือไม่ เดินทางไม่หลงทิศด้วยอุปกรณ์ไฮเทคกับ GPS ของ GARMIN ที่ให้ความแม่นยำในการบอกพิกัด

ที่เห็นทำไปขนาดนี้ งบค่าตกแต่งบอกได้คำเดียวครับว่า มีค่างวดราวๆ 2 แสนกว่าอัพ แต่ถ้าเป็นคนชอบลุยชอบเที่ยวเป็นประจำ นับเป็นการลงทุนที่จัดว่าคุ้มค่า เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ที่ปรับแต่งเข้าไป ถือเป็นอุปกรณ์ที่ชาวออฟโรดวางใจว่ามีความทนทานคุ้มสมราคา เป็นไงบ้างครับสมาชิก FORTUNER น่าสนมั๊ยครับ…???

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้อง Suzuki mini off road ?



Suzuki Caribian หรือ Sporty มีชื่อเป็นทางการว่า SJ413 มีขายทั่วโลกโดยใช้ชื่อ Version ต่างๆกัน ญี่ปุ่น , Asia Australia- Jimmy North America (USA,Canada) Samurai ,Europe- Sierra

Suzuki Jeep ผลิตครั้งแรกในปี 1968 ใช้เครื่องขนาด 359 CC (LJ10) มีการปรับปรุงรูปแบบอย่างต่อเนื่องเริ่มเข้ามาในประเทศไทย ครั้งแรกประมาณปี 1977 เป็น Verion แรกๆของ Suzuki ขับเคลื่อนสี่ล้อใช้เครื่อง 3 สูบ 797 CC (LJ80) ตัวถังเล็กกว่ารุ่นปัจจุบัน ส่วนรุ่นปัจจุบัน (SJ41x) เริ่มเข้ามาในเมืองไทยประมาณปี 1982 ด้วยเครื่อง 1000 CC (SJ410) และเปลี่ยนเป็นเครื่อง 1300 (SJ413)ที่ใช้มาถึงทุกวันนี้ในปี 1986 ช่วงปี 1985-90 ราคาของ Suzuki ที่ต่อตัวถังไฟเบอร์เป็นรถ Van ชื่อ Caribian อยู่ที่ 240,000 บาททำให้ขายค่อนข้างจะดีเพราะมีราคาถูกกว่ารถเก๋งมากเนื่องมาจากเสียภาษีเป็นประเภทรถกระบะดัดแปลง โดยรถเก๋งขนาด 1300 CC ในช่วงนั้นราคาจะอยู่ที่ 300,000 - 350,000 บาท

คาริเบียน แวน บนเส้นทาง off-road คล่องตัวและทนทรหดมาก ผู้ใช้รถส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้เป็นรถใช้งานประจำวันและหนึ่งในเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อก็เพราะว่าราคาถูกกว่ารถเก๋ง โดยที่ไม่ได้มีความต้องการลักษณะ Off Road เลย หลายคนต้องขายไปแล้วซื้อรถเก๋งแทนเพราะว่าทนกระเทือนไม่ไหว

ปัจจุบันยังไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
1993 ออกรุ่น Sporty เป็นกระบะขยายห้องโดยสาร มาเพื่อผลประโยชน์ทางด้านภาษีและไม่ถูกบังคับเรื่องควบคุมไอเสีย (Catalytic Convertor) แต่ก็ทำให้ดูสวยดี
1996 เปลี่ยนเป็นเครื่องหัวฉีด (Single point) กับเพิ่มพวงมาลัย Power
1999 เปลี่ยนส่วนหน้าและตกแต่งภายในใหม่ ช่วงล่างยังคงเดิม (ที่ประเทศอื่นจะเป็น Coil Spring 4 ล้อ)

ในปัจจุบัน ผู้ซื้อส่วนมาก ซือ้เพราะต้องการรถ Off Road ราคาถูกที่ใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม, ทนทาน, แต่งสวยแต่ราคาถูกและใช้เทคโนโลยี่แบบง่ายๆ แต่ส่วนมากมักจะนิยมซื้อรถเก่ามาแต่งมากกว่า โดยเฉพาะในระยะ 2-3 ปีมานี้เพราะถูกเงินและไม่ต้องเสียดายรถ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเก่ามีราคาสูงมาก Suzuki Caribian ปี 1990 ราคายังอยู่ที่ประมาณ 120,000 - 160,000 เมื่อเทียบกับราคาใหม่ในตอนที่ซื้อมาที่ 240,000 จะเห็นว่าราคาตกไม่ถึง 50% ราคาตกน้อยกว่า Toyota Corolla เสียอีก

ปัจจุบัน Suzuki 4x4 มีขายเพียงรุ่นเดียวคือ Sporty ซึ่งต้องจดทะเบียนเป็นรถกระบะบรรทุก ลูกค้าส่วนมากคือพวกนิยม Off Road เพราะสามารถเป็นรถเอนกประสงค์จริงๆ ใช้ในเมืองได้ดีเยี่ยม ด้วยเหตุที่คล่อง, ตัวเล็กกระทัดรัด, ประหยัดน้ำมัน, แต่งสวย และราคาไม่แพง

ทำไมถึงเป็น Suzuki

เป็นรถ 4 x 4 ที่สมรรถนะยอดเยี่ยมในป่า และในเมือง ประหยัดน้ำมัน (สามารถใช้ Octane 87ได้ ) ราคาถูก สวย โครงสร้างแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทำให้ทนทาน ไม่ต้องดูแลมาก ราคาถูกทั้งอะไหล่และการซ่อม
เครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ มีเท่าที่จำเป็น และไม่มี Electronic เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ซ่อมง่าย โดยที่ไม่ต้องการเครื่องมือพิเศษเลย สามารถที่จะซ่อมและ service เองได้ ขนาดมิติเล็กและเบา ทำให้คล่องในป่าและสะดวกในการช่วยเหลือเวลาติดหล่มของแต่งมีให้เลือกมากมายทั้งจากต่างประเทศ และภายในประเทศ ราคาถูก ราคาขายต่อดี

ข้อเสีย
กระเทือนมาก แก้ยาก ต้องขายอย่างเดียว ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อมาเพื่อใช้แทนรถเก๋งอย่างเดียวการทรงตัวทางโค้งไม่ดี เนื่องจากฐานล้อเล็ก พวงมาลัยหนักมาก (เกินตัวสำหรับรุ่นไม่มี Power) เสียงดังมาก เมื่อวิ่งประมาณ 100 กม./ชม.ท่านจะไม่สามารถฟังวิทยุได้เลย จะได้ยินแตเสียงเกียร์ขณะรถวิ่ง Safety ไม่ดีเมื่อเทียบกับรถที่ใหญ่กว่า โครงสร้างหลังคาไม่แข็งแรง
สรุปได้ว่า Suzuki เป็นรถ Off Road ที่ยอดเยี่ยมมากทั้งนอกเมืองและในเมือง สำหรับผู้ที่ชอบ Off Road แต่ไม่เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการซื้อมาใช้แทนรถนั่งเพียงอย่างเดียว หรือเดินทางไกลๆเป็นประจำ แต่อย่างไรก็ดี รถSuzuki ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในลักษณะ Off Road การแต่งเราก็ควรที่จะทำให้มีลักษณะการใช้งาน Off Road ดีขึ้นแบบ Off Road ไม่ใช่เอามา Load ให้เตี้ยแบบ Street Racing

แต่งอย่างไรดี
1.แต่งให้สวยแบบ off road เรื่องความสวยงามคงจะบอกและวัดยาก เพราะขึ้นกับความพอใจของแต่ละคน ทำอย่างไรถึงจะแน่ใจได้ว่าของที่ท่านเสียเงินใส่เข้าไปแล้วดูสวยในสายตาคนอื่นด้วย คงไม่น่าดีใจนักถ้าเสียเงินแล้วรถยังดูลิเก การวัดความสวยพอจะทำได้เหมือนกันเช่น ถามเพื่อนๆ ถ้าถาม 10คน 8 คนควรจะบอกว่าสวยดูจากหนังสือแต่งรถต่างๆทั้งจากต่างประเทศ และในประเทศ ดูแบบจากรถแข่ง off road เช่น Carmel Trophy, Baja
2. แต่งโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยหรือความสวยงามที่เกิดจากประโยชน์ใช้สอย ข้อนี้ควรให้ความ
สำคัญมากที่สุดของการแต่งแบบ Off Road ก่อนจะเสียเงินซื้ออะไรมาใส่รถควรจะคิดก่อนเลยว่ามีประโยชน์หรือเปล่าถ้าไม่มี หรือเพื่อความสวยงามอย่างเดียวก็ไม่ควรติดให้หนักรถ แม้แต่ Sticker หรืออย่างเช่นบันไดขึ้นหลังคารถ ใส่แล้วทำให้ดูเป็น Off Road มาก แต่ท่านได้ใช้มันหรือเปล่ามีความจำเป็นต้องปีนขึ้นหลังคาทุกวันหรือไม่ ท่านเคยเห็นรถที่แข่งOff Road ไม่ว่าจะเป็น Carmel Trophy หรือ Baja ใส่บันไดหรือไม่ ของทุกอย่างควรมีประโยชน์ที่อธิบายได้ มากกว่าโทษ (เสียเงิน หนักรถ และอาจดูลิเกด้วย)
3.ความสวยงามจากความเรียบง่าย ไม่เลอะเทอะรุงรัง พยายามแต่งให้เรียบง่ายที่สุด มีของที่จำเป็นเท่านั้น อุปกรณ์ส่วนมากจะสวย ดูมีประโยชน์ แต่ถ้าติดรถไปมากๆก็จะทำให้เละเทอะ และอาจเป็นลิเกได้ ไม่มีเงินแต่งยังดูดีกว่าเลย


วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

SUZUKI CARIBIAN off-road อเนกประสงค์

ออฟโรดขนาด เล็กที่ที่เข้ามาในทำตลาดในบ้านเราเมื่อปี 1990 รูปทรงเหมือนจี๊บ ขนาดเล็กๆราคาย่อมเยาแถมท้ายด้วยระบบขับสี่ล้ออันเป็นจุดขาย เอาไว้ลุยก็ได้ในเมืองก็ดี ทำให้ขายดีเทน้ำเทท่า สมัยนั้นใครขับแคริบเบียนนี่ถือว่าเท่ห์มากๆ

เจ้าตัวนี้ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า SJ-413 เพราะด้วยความที่หน้าตา รถเหมือนกับจี๊บทหารมาก เพียงแต่นำมาพัฒนาให้ย่อมลง เบาขึ้น ตั้งใจจับตลาดพวก outdoor หรือไซต์งานต่างๆ ใช้ลุยได้ดีแบบจี๊บ แต่คล่องตัวกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า สมัยแรกๆจึงลงเครื่อง 2 จังหวะ 3 สูบ 1 ลิตร พอขายดีก็ขยับเครื่องให้โตขึ้น

ลักษณะของรถเข้าข่ายประเภทรถ SUV ด้านหน้าดูเรียบๆไฟดวงกลมข้างละคู่ กระจังหน้าลายซี่นอนแปะคำว่าซูซูกิไว้ กันชนหน้าขนาดเล็กแต่แข็งแรงมาก มีไฟเลี้ยวติดตั้งอยู่ใต้ไฟหน้า ฝากระโปรงทรงคล้าย แลนโรเวอร์ดีเฟนเดอร์ ยกสันตรงกลางเล็กน้อย ด้านข้างเป็นทรงกล่องเรียบๆ เล่นสันข้างรถ ประตูข้างเป็นแบบบานพับข้างนอกทนทาน รุ่นแรกจะเป็นแวน กระจกช่วงแวนใหญ่มาก ขับแล้วรู้สึกโปร่ง ทำตลาดมาถึงปี96 ก็ถูกภาษีรถแวนเล่นงาน ต้องแปลงจากแวนเป็นกระบะมีแค็บเพื่อให้เสียภาษีถูก แต่แค็บไม่น่าจะเรียกว่าแค็บน่าจะเรียกว่า ‘แคบ’ มากกว่า เพราะมันไม่เหมาะจะเอาไว้นั่ง น่าจะเอาไว้เก็บของกันเปียกฝนมากกว่า เรียกชื่อรุ่นให้สวยหรูว่า sporty caribian ประมาณปี 2000 ก็เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ ทำตลาดจนถึงปัจจุบันในราคามือหนึ่งไม่ถึง 4 แสน ภายใน เรียบๆไม่หรูหรา พวงมาลัยสามก้านทรงเชยๆเป็นเอกลักษณ์ มาตรวัดสองวงแยกจากกัน ตรงกลางมีมาตรวัดความร้อนและเชื้อเพลิง ช่องแอร์วงกลมดูเข้ากันวางอยู่เป็นแนวบนคอนโซล เบาะนั่งหนังเทียมธรรมดาไม่นุ่มมาก ที่วางขาพอใช้ได้ ทัศนวิสัยดีทีเดียวเพราะตัวรถสูงกระจกบังลมก็ชัน

ข้อดี ของเจ้าแคริบเบียนก็คือทนทาน แข็งแรงมาก เพราะใช้แชสซีส์แยกจากตัวถังรถเหมือนรถกระบะ ถึงแม้น้ำหนักรถจะไม่ถึง900โลก็ตามที แต่แค่แชสซีส์หนักไปเกือบครึ่ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ไม่ค่อยจะมีให้ปวดหัวเวลาเสีย ประหยัดน้ำมันด้วยขนาดตัวรถที่เบา ใช้เครื่องแค่ 1.3 ลิตรตัวเดียวกับ swift อะไหล่หาง่ายมีครบราคาถูกพอๆกับโคโรล่า แต่บางชิ้นก็แพงกว่า โดยรวมอะไหล่มีครบเหลือเฟือ ทั้งของแท้ ของเทียม แถมสามารถดัดแปลงมาใส่ก็ได้ ของแต่งก็เพียบ

ข้อเสียคือ เรื่องของสมรรถนะ ใช้เดินทางไกลๆ ไม่เกิน 120-130 เสียงเครื่องดัง เสียงลมก็ดัง ตัวรถก็โคลงแล้ว เพราะรถมันสูง ถ้าแช่อยู่ในระดับ90-100 ก็ไปได้เรื่อยๆแถมประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก ช่วงล่าง เป็นแหนบก็ไม่เกาะนักแถมกระด้างอีกต่างหากความนุ่มนวลยังสู้รถกระบะ ไม่ได้ เพราะเพลาขับแต่ละอันมีน้ำหนักมาก จึงต้องเอาช่วงล่างให้รับได้ จุดยึดของช่วงล่างมีน้อย รวมทั้งยางที่มีขนาด 195 SR15 ทำให้หลายๆคนพากันขายเจ้าคาริบเบียนทิ้งเพราะทนความกระด้างไม่ไหว ช่วงล่างเป็นแหนบถ้าใช้นั่งกันบ่อยๆแนะนำหาโช๊คน้ำมันใส่ดีกว่า พวงมาลัยหนักมือ เวลาเข้าที่จอดรถ โยกกันเหงื่อตก ใช้ไปนานๆกระปุกพวงมาลัยก็หลวมเร็ว พวงมาลัยฟรีเยอะมาก แก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ ด้วยการติดพาวเวอร์ลงไปชุดละประมาณเก้าพันช่วยได้ดี ระบบความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่มีให้ใช้ตามประสารถประหยัดแต่ สามารถติดตั้งทีหลังได้

ปัญหาที่พบ ได้แก่เรื่องของเกียร์เข้าไม่ติด กระปุกพวงมาลัยหลวมแถมรั่ว เปลี่ยนใหม่ราคาพันนึง ยางเปลี่ยนใหม่ที่50,000กิโลเมตร ทัศนวิสัย ด้านหลังถูกบังจากยางอะไหล่ไปพอควร ด้านหน้าพวงมาลัยมันสะท้อนเงาลงบนมาตรวัด นอกนั้นไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลบ่อยๆให้ถูกวิธี แค่นี้ก็ทนทานใช้กันลืม

สรุป ถ้ากำลังมองหารถที่ประหยัดน้ำมัน คล่องตัว ทนทาน อะไหล่ครบ เล็กกระทัดรัด แต่งสวย และราคาไม่แพง เจ้าตัวนี้ก็น่าเป็นอีกทาง เลือกนึงที่น่าสนใจ แถมพ่วงท้ายระบบขับสี่ล้อ แต่ต้องแลกกับตัวรถที่กระด้างสักหน่อยครับ ถ้ามีครอบครัวพร้อมตัวน้อย ไม่แนะนำให้ซื้อไปใช้แทนรถเก๋ง ถ้ามีคนร่วมทางเยอะเล่นตัวหลังคาไฟเบอร์ปี 96 จะดีกว่า แต่ถ้าใครเน้นขับแบบ 2x2 หรือเป็นรถคันที่สองอยากลองออฟโรด เล่นตัวกระบะก็ดูเท่ห์ดีครับ

ข้อมูลทางเทคนิคของซูซูกิ คาริบเบียน

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบเรียง OHC 8V
ปริมาตร กระบอกสูบ 1,324 ซีซี
กระบอก สูบ/ช่วงชัก 74/77 มม.
อัตราส่วน กำลังอัด 8.9 : 1
แรงม้า 70แรงม้า/5500รอบต่อนาที
แรงบิด 107Nm/3500รอบ ต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมัน คาร์บูเรเตอร์เดี่ยวท่อคู่
ระบบส่ง กำลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบกัน สะเทือน แหนบและคานแข็ง 4 ล้อ
ระบบเบรก หน้า/หลัง พาวเวอร์ 2 วงจร ดิสก์/ดรัม
กว้าง-ยาว-สูง 1465-3455-1700 น้ำหนักรถ 870 กก. ขนาดยาง 195x15
ความเร็ว สูงสุด 135 กม./ชม ความจุถัง น้ำมัน 40 ลิตร อัตราการ กินน้ำมัน 7-12 กม./ลิตร
ราคาค่าตัว มือสอง ประมาณ 90,000-170,000 (ขึ้นอยู่กับปีและสภาพ)

ข้อมูลทางเทคนิคของซูซูกิ สปอร์ตตี้ คาริบเบียน

เครื่องยนต์ G13B เบนซิน OHC 8V 4สูบ
ปริมาตร กระบอกสูบ 1,298 ซีซี
อัตราส่วน กำลังอัด 9:1
แรงม้า 69แรงม้า/6000รอบต่อนาที
แรงบิด 105Nm/3500รอบ ต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีดsingle point
ระบบส่งกำลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบกัน สะเทือน แหนบ โช้คอัพและคานแข็ง 4 ล้อ
ระบบเบรก หน้า/หลัง พาวเวอร์ 2 วงจร ดิสก์/ดรัม
กว้าง-ยาว-สูง 1460-4010-1770 น้ำหนักรถ 975 กก. ขนาดยาง 195x15 ความเร็ว สูงสุด 135 กม/ชม ความจุถัง น้ำมัน 40 ลิตร อัตราการ กินน้ำมัน 7-12 กม./ลิตร
ราคาค่าตัว มือสอง ประมาณ 190,000-250,000 (ขึ้นอยู่กับปีและสภาพ)

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชุดแต่งซูซูกิคาริเบี้ยน ปี 2553 Suzuki SJ Accessorie 2010


เพื่อนพ้องออฟโรดเดอร์ท่านใดที่ใช้รถซูซูกิคาริเบี้ยน อยู่และต้องการโมดิฟายให้แจ่มกว่าเดิมละก็ดูข้อมูลที่นี่ได้ครับ ไปพบมาเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์เลยเก็บมาขยายต่อ ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่ประการใดครับยืนยันได้


ราคานี้ เริ่มต้นใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กพ. 2553
*** ชุดแต่งซูซูกิ หมวดสินค้าประเภทหลังคาและชิ้นงานไฟเบอร์กลาส ***
1. หลังคาซูซูกิตอนเดียว+กระจกบานท้ายใหม่ ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 7,800 บาท
2. หลังคาซูซูกิสปอร์ตตี้ +กระจกบานท้ายและบานแคป ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 8,800 บาท
3. หลังคาซูซูกิBigcab +กระจกบานท้ายและบานแคป ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 9,800 บาท
4. พื้นปูกระบะไลเนอร์สำหรับ สปอร์ตตี้ และ Bigcab ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 7,500 บาท
5. คิ้วล้อไฟเบอร์กลาส แบบเรียบและแบบหลุมน๊อต ขนาดใหญ่ ไซค์ L ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 1,600 บาท6. คิ้วล้อไฟเบอร์กลาส มีแบบหลุมน๊อตใหญ่ แบบเดียว ขนาดใหญ่ ไซค์ XL ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 2,800 บาท
7. สน๊อคเกิลไฟเบอร์กลาสทรง AirFlow Caribain ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 1,900 บาท
8. กระจังหน้าซูซูกิ ทรง Jimny มีสำหรับ คาริเบี้ยน และสปอร์ตมายด์ ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 1,600 บาท
9. แผงประตูใน ด้านข้าง ซ้ายขวา Caribain ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 3,200 บาท


*** หมวดสินค้าประเภทงานเหล็ก และตกแต่งตัวถังด้านนอก ***
1. กันชนหน้าทรง ARB เหล็กพ่นสีฝุ่นดำแบบหนา 3 มม. ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 6,300 บาท
2. กันชนหน้าทรง Bajaเหล็กพ่นสีฝุ่นดำแบบหนา 5 มม. ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 5,300 บาท
3. กันชนท้ายทรงกล่อง Offroad ปูอลูมิเนียมตีนไก่ใช้ชุดไฟท้ายเดิม ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 4,500 บาท
4. ไซค์เรียวด้านข้างมีบันไดข้างปูอลูมิเนียมตีนไก่ ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 6,500 บาท
5. การ์ดกันกระจกหน้า คาริเบี้ยน และสปอร์ตมายด์ เหล็กหนาแข็งแรง( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 1,600 บาท
6. การ์ดกันถังน้ำมันคาริเบี้ยนแบบเหล็กหนา 3 มม. แข็งแรงมาก ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 1,600 บาท
7. แร็คหลังคาตู้ปลาแบบถอดได้ ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 3,200 บาท
8. แร็คหลังคาตู้ปลาแบบตาข่าย แข็งแรงทนทาน ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 4,200 บาท
9. แร็คหลังคาสปอร์ตตี้แบบตาข่าย แข็งแรงทนทาน ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 4,800 บาท
10.แร็คหลังคา Bigcabแบบตาข่าย แข็งแรงทนทาน ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 5,500 บาท
11.โรล์บาร์ด้านหลังกระบะทรง A สีดำ ( ไม่รวมติดตั้ง ) ราคาส่งหน้าร้าน 3,500 บาท
12. กันสาดประตูคาริเบี้ยนสีชา ราคาส่งหน้าร้านคู่ละ 750 บาท
13. กันแมลงฝากระโปรงคาริเบี้ยน, สปอร์มายด์ ราคาส่งหน้าร้านคู่ละ 950 บาท
14. โคมไฟหน้า Raybrix ตาเพชร ราคาส่งหน้าร้านดวงละ 750 บาท

ร้านเขาอยู่ถนนรามอินทราซอย 109 เบอร์โทร 081-9222652 ลองติดต่อสอบถามดูนะครับ

เทคนิคการขับข้ามน้ำ

เชื่อว่าออฟโรดเดอร์แทบทุกคนคงจะเคยมีประสบการณ์ผ่านมาแล้วบ้างไม่มากก็น้อยสำหรับทริปการขับข้ามลำน้ำ ซึ่งอาจจะกว้างบ้างแคบบ้างก็ตามภูมิประเทศ ทริปแบบนี้ความท้าทายอยู่ที่ความลึกของน้ำและความลาดชันของตลิ่ง รวมถึงความเชี่ยวของกระแสน้ำด้วยหากเป็นช่วงหน้าฝน ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำเล็กน้อยที่ปฏิบัติได้ไม่ยากแต่เป็นกฏแห่งความปลอดภัยครับ เพื่อให้การเดินทางในทริปที่มีอุปสรรคเช่นนี้เป็นไปโดยตลอดรอดฝั่ง ข้อแนะนำ 5 ข้อดังนี้ครับ
ข้อที่ 1 ก่อนขับรถลงในน้ำ ให้ผูกผ้ายางหรือผ้าใบคลุมกระจังหน้าและอุปกรณ์ winch ไว้เสียก่อน เพื่อป้องกันน้ำไม่ให้เข้าไปทำความเสียหายกับชิ้นส่วนกลไกของเครื่อง.

ข้อ 2 ควรพักรถเพื่อให้ส่วนต่างๆของรถเย็นลงก่อน การขับขี่รถลงไปในน้ำในขณะที่ส่วนต่างๆของรถยังร้อนอยู่นั้น จะทำให้เกิดความเสียหายกับส่วนต่างๆได้เช่น จานเบรค, ใบพัดลมหม้อน้ำบิดงอ, ระบบท่อไอเสียเสียหาย หรือแม้แต่เครื่องยนต์ก็อาจเกิดการเสียหายร้ายแรงได้.

ข้อ 3 ศึกษาสภาพของท้องน้ำก่อนจะข้าม แม่น้ำที่มีอัตราการไหลค่อนข้างช้ามักจะมีท้องน้ำลักษณะที่เป็นโคลนเลนอ่อน นิ่มและค่อนข้างลึก ทำให้ไม่สามารถขับขี่ผ่านไปได้โดยง่าย ซึ่งจะแตกต่าง กับแม่น้ำที่ไหลแรงมักจะมีท้องน้ำที่แน่นและแข็งกว่าเนื่องจากกระแสน้ำที่ แรงได้ช่วยพัดพาเอาตะกอนออกไปจากก้นแม่น้ำ ทำให้สามารถขับขี่ผ่านแม่น้ำที่มีลักษณะแบบนี้ไปได้โดยง่าย.
ข้อ 4 พึงระวังไว้เสมอว่า การขับขี่ในน้ำลึกๆจะทำให้บางส่วนของรถลอยขึ้น ซึ่งจะมีลดประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนของรถทำให้ยากหรือไม่สามารถที่จะปีน ขึ้น ฝั่งที่เป็นโคลนเลนหรือหินชันในอีกฟากหนึ่งได้ ในกรณีนี้ท่านอาจจะต้องเปิดประตูรถให้น้ำเขามาภายในเพื่อลดการลอยตัวของรถ และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน และผ่านอุปสรรคต่างๆ จนสามารถขึ้นฝั่งอีกฟากหนึ่งได้ (แต่ต้องแน่ใจว่าท่านได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาไว้เปลี่ยนด้วยนะ

และ ข้อ 5 ในกรณีฉุกเฉิน หากท่านจำเป็นต้องขับถอยหลังข้ามน้ำที่มีความลึกนั้น ให้ขับ(ถอยหลัง)ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องผ่อนคันเร่ง การทำเช่นนี้จะเพิ่มโอกาสให้ท่านข้ามน้ำไปได้สูงขึ้นเนื่องจากส่วนหลังของรถ แหวกกระแสน้ำจนเป็นช่อง และช่วยป้องกันน้ำไม่ให้ไหลเข้าไปในส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ได้ ***แต่ท่านจะต้องแน่ใจก่อนว่าพื้นที่ก้นแม่น้ำนั้นแน่น ไม่มีท่อนซุง หรือหินก้อนใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้รถติดได้ และต้องแน่ใจด้วยว่ามุมประชิดและมุมจากของรถท่านมากพอ ที่จะพาท่านขึ้นฝั่งตรงข้ามได้อย่างไม่ติดขัด

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการขับรถออฟโรด


ขณะนี้รถออฟโรดกำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้บริโภคคนไทย ประกอบกับในปีนี้จะมีรถออฟโรดพันธุ์แท้ออกสู่ตลาดให้เลือกมากขึ้น วันนี้คอลัมน์ของเราจึงขอแนะนำเทคนิคง่าย ๆ ในการขับขี่รถออฟโรดในรูปแบบต่าง เพราะใน การใช้งานจริงบนเส้นทางออฟโรดไม่สามารถคาดเดาว่าเส้นทางข้างหน้าจะมีรูปแบบใด การศึกษาและทำความคุ้นเคยกับการขับเพื่อสยบอุปสรรคในรูปแบบต่างๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น การขับลุยโคลน ,ขับข้ามหิน,การขึ้นลงเนินลาดชัน ล้วนมีเทคนิคการขับที่แตกต่างกัน วันนี้ขอแนะนำวิธีการขับแบบเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ที่มีหัวใจออฟโรด ให้ทดลองนำไปฝึกกัน ขอย้ำนะครับว่า การที่จะเก่งได้อาศัยการหมั่นฝึกฝน อดทนและตั้งใจ ไม่ใช่เพียงแค่อ่านจากตำราแล้วก็จะเก่งได้ นี่ไม่ใช่การสอบข้อเขียนแต่เป็นภาคปฏิบัติ เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

1.การขับลุยโคลน
เป็นอุปสรรคที่สามารถพบได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงฤดูฝน โดยก่อนเริ่มการขับลุยโคลนไม่ว่าจะเป็นแอ่งที่มีความตื้นหรือ ลึก ควรเดินสำรวจโดยรอบก่อน เพื่อหาจุดเหมาะสมในการขับข้าม เพราะสภาพของดินโคลนในธรรมชาติแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน อีกทั้งต้องพิจารณาต่อไปถึงเส้นทางข้างหน้าว่าเป็นอย่างไรและมีความวิบากมาก น้อยแค่ไหน การเลือกใช้ประเภทของเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และความเร็วให้เหมาะสม นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในสภาพเส้นทางราบตรงและมีแอ่งโคลน ไม่ลึกมากขวางอยู่ ควรจะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในตำแหน่งเกียร์ 4H หรือ PART-TME HIGH ก็พอ เพราะมีการกระจายกำลังที่เพียงพอ และใช้ความเร็วที่เหมาะสมในการขับผ่าน ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป ที่สำคัญควรรักษารอบเครื่องยนต์ให้สม่ำเสมอ บางครั้งหากใช้ความเร็วมากเกินไปประ กอบกับพื้นดินที่อยู่ด้านล่างนุ่มมากเกินไป อาจจะทำให้รถยนต์ติดหล่มได้ อีกทั้งในขณะขับผ่านแอ่งโคลน ควรใช้เทคนิคหักพวงมาลัยซ้าย-ขวา สลับกันไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้หน้ายางตะกายผ่านพื้นผิวของโคลนได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ความเร็วในการแล่น ผ่านทางที่เป็นโคลน ต้องแน่ใจว่าไม่มีหินก้อนใหญ่ ๆ ฝังอยู่ที่พื้นด้านล่าง เพราะยางอาจดีดก้อนหินขึ้นมาจนทำให้เกิดความเสียหายกับยาง หรือตัวรถยนต์ได้ หากแอ่งโคลนข้างหน้ามีขนาดลึก ควรเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำแหน่งเกียร์ 4L หรือ PART-TIME LOW เพื่อเพิ่มกำลังในการฉุดลากมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางด้านหน้าเป็นทางขึ้นเนินชันรออยู่ คงไม่ดีแน่ หากต้องหยุดรถยนต์เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ใหม่ เพราะอาจจะทำให้การไต่เนินชันทำได้ยากขึ้น และอาจจะต้องลงไปตั้งหลักที่ด้านล่างใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ก่อนที่จะขับผ่านอุปสรรคใดก็ตาม ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงเส้นทางต่อไปว่า มีความยากง่ายมากน้อยแค่ไหน ทำอย่างไรเมื่อติดหล่มโคลน หากรู้สึกว่าไม่สามารถขับผ่านแอ่งโคลนไปได้ ไม่ควรฝืนเพื่อผ่านไปให้ได้ด้วยการเหยียบ คันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม เพราะจะทำให้สถานการณ์ แย่ลงไปอีก โดยยางจะจมลงไปในโคลนมากขึ้น หากเป็นรถยนต์ออฟโรดแบบเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกและขึ้นเบรกมือไว้ จากนั้นผลักดันคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จึงสตาร์ทเครื่องอีกครั้งโดยที่เท้ายังเหยียบเบรกอยู่ ต่อจากนั้นเข้าเกียร์ต่ำหรือเกียร์ถอยหลังปลดเบรกมือและค่อยปล่อยเท้าจากการ เหยียบ เบรกมากดคันเร่งอย่างค่อยๆ จนตัวรถยนต์เริ่ม มีการเคลื่อนที่ หากเป็นเกียร์ธรรมดา อาจจะใช้วิธีเข้าเกียร์แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้ตัวรถยนต์ กระตุกและเคลื่อนตัวจนถึงหลุดจากหล่มโคลน ถ้ายังติดหล่มอยู่ให้ลองดูอีกครั้ง แต่ถ้าสถานการณ์แย่จริง ๆอาจใช้เครื่องลากหรือวินซ์ในการฉุดลากขึ้นจากแอ่งโคลน

2.การลุยทราย

อาจเป็นอุปสรรคที่ไม่ค่อยพบมากนัก ซึ่งการขับบนพื้นทราบมีเทคนิคไม่ต่างจากการขับผ่านแอ่งโคลน คือควรเลือกใช้เกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อให้เหมาะสม และพยายามเร่งเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ ผู้ขับสามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในตำแหน่งเกียร์ 4H ถ้าเป็นเส้นทางที่ไม่โหดมากนัก แต่ถ้าไม่มั่นใจก็สามารถเลือกในตำแหน่ง 4 L เลยก็ได้ เพราะถ้าคาดการณ์ผิดพลาดโดยใช้ตำ แหน่งเกียร์ 4 H ขณะที่เส้นทางมีความวิบากมาก พอผ่านไปได้สักระยะรถยนต์อาจหมดกำลังได้ การขับอยู่บนพื้นทราย พยายามรักษาความเร็วไว้ให้คงที่ไม่ควรลดความเร็วหรือหยุด เพราะอาจติดหล่มทรายได้

3.การขึ้น-ลงทางลาดชัน


ควรเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำแหน่งเกียร์ 4Lเพื่อเพิ่มกำลังในการปีนไต่มาก ขึ้น อีกทั้งในขณะที่ลงทางลาดชัน เมื่อใช้เกียร์ 1 ร่วมกับเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำแหน่งนี้กำลังของเครื่องยนต์จะช่วยฉุดตัวรถยนต์ไว้ จนผู้ขับแทบไม่ต้องแตะเบรกเพื่อชะลอความเร็ว เส้นทางขึ้น-ลงภูเขา พบได้ว่าการเดินทาง ตามต่างจังหวัด ซึ่งผู้ขับควรใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษในการเดินทาง เพื่อความปลอดภัย หากเป็นบนถนนหลวงที่ตัดผ่านภูเขา อาจไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แค่ 2 ล้อ ขับเคลื่อนก็มีกำลังเพียงพอแล้ว ซึ่งในช่วงทางลง ควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้กำลังของเบรกตลอดเวลาขณะลงทางลาดชัน เพราะอาจทำให้ผ้าเบรกไหม้จนถึงขั้นเบรกล็อกและเกิดอันตรายได้ นอกจากนั้นในขณะแล่นลงจากเขา ไม่ควรปลดเกียร์มาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง หรือ N สำหรับเกียร์อัตโนมัติ เพราะจะทำให้รถยนต์แล่น ลงด้วยความเร็ว เนื่องจากไม่มีกำลังของเครื่อง ยนต์มาหน่วงตัวรถยนต์ไว้ และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ทางขึ้นเนินที่เต็มไปด้วยหิน บางครั้งสภาพเส้นทางในการเดินทางอาจวิบากกว่าที่คิด นอกจากจะเป็นทางขึ้นเนินแล้ว ยังเต็มไปด้วยหินทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็ก ผู้ขับจึงจำเป็นต้องทราบถึงเทคนิคที่ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจเป็นอันตรายทั้งต่อร่างกายและทำให้ตัวรถยนต์ได้ รับความเสียหาย ในการเดินทางที่เต็มไปด้วยหินก้อน ใหญ่ ๆ และวางกระจัดกระจายไปทั่ว ผู้ขับจำเป็น ต้องใช้ความชำนาญในการวางตำแหน่งล้อ และการพารถยนต์ผ่านไปได้โดยไม่เกิดความเสียหาย หรือมีความเสียหายน้อยที่สุด ตามปกติในทางขึ้นเนิน รถยนต์ต้องใช้กำลังมากกว่าปกติอยู่แล้วและเมื่อมีก้อนหินที่ไม่ เป็นระเบียบ ยิ่งทำให้เส้นทางวิบากมากขึ้นไปอีก ควรเลือกใช้เกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อในตำแหน่ง 4L พร้อมกับเกียร์ขับเคลื่อนปกติในตำแหน่งเกียร์ 1 และบังคับทิศทางในการไต่ผ่าน เฉพาะก้อนหินที่ขนาดเล็ก และเหยียบคันเร่งให้คงที่โดยรอบเครื่องยนต์ที่ใช้ไม่ควรเกิน 2,500 รอบ/นาที การข้ามแอ่งลึก ในการขับบนเส้นทางออฟโรดตามป่า บางครั้งอาจต้องพารถยนต์ข้ามห้วยหรือลำธารไปยังฝั่งตรงข้าม เพราะไม่มีสะพานเชื่อมต่อ ขั้นแรกควรเดินสำรวจเส้นทางที่จะใช้ลงไป รวมถึงทางขึ้นจากแอ่ง เพราะตามปกติพื้นดินริมตลิ่งมักมีความนุ่มและเป็นโคลน หากขับลงไปทันทีโดยไม่มีการสำรวจก่อน อาจทำให้ติดหล่มหรือพลิกคว่ำได้ ควรเลือกใช้เกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำ แหน่ง 4L และค่อย ๆ ขับลงไป และควรลงในลักษณะเป็นแนวเส้นตรงไม่ควรหักพวงมาลัยนำรถยนต์ตะแคงข้างลงไป เพราะอาจทำให้เกิดการลื่นไถลหรือพลิกคว่ำได้ เมื่อถึงทางขึ้นเนิน ควรนำรถยนต์ขึ้นเป็นเส้นตรงเช่นกันและใช้รอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสม ซึ่งไม่ควรเกิน 2,500 รอบ/นาที และกดคันเร่งพารถยนต์ขึ้นไป

4.ข้ามร่องลึก


ควรเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำ แหน่งเกียร์ 4L พร้อมกับหักพวงมาลัยหันด้านใดด้านหนึ่งของรถยนต์เข้าหารอยแตก โดยเอียง ทำมุม 45 องศา และค่อย ๆ ควบคุมให้ล้อลงบนร่องทีละล้ออย่างนุ่มนวลอย่าให้ตกร่องพร้อม กันทั้ง 2 ล้อ เพราะร่องหรือรอยแยกจะล็อกล้อ ให้อยู่กับที่ ไม่สามารถขับเขยื้อนได้ เกียร์ขับเคลื่อนปกติควรอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 1 ซึ่งการขับข้ามร่องลึกต้องอาศัยความนุ่ม นวลในการปล่อยรถไหลลงบนร่อง และการวางตำแหน่งที่เหมาะสม ถ้าเป็นการขับผ่านร่องหิน พยายามขับคร่อมรอยแยกแม้ว่ารอยแยกจะมีความกว้างมากกว่าตัวรถยนต์ โดยอาจต้องขับให้ล้อด้านใดด้านหนึ่งอยู่ในลักษณะการไต่เอียงไปตามผนังของรอย แยก ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะความคมและแข็งของหิน อาจทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถยนต์หรือยางได้ 5.การขับในป่าที่แคบและเส้นทางขรุขระ เส้นทางในป่าบางแห่งอาจค่อนข้างแคบและมีความขรุขระผู้ขับควรใช้ความชำนาญและ การสังเกต รวมทั้งการใช้ความเร็วให้เหมาะ สม เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เส้นทางข้างหน้าจะมีขอนไม้หรือก้อนหินขวางทางอยู่หรือไม่ หากเส้นทางไม่โหดมาก ก็สามารถเลือกใช้เกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำแหน่ง 4H ได้ หรือใช้เกียร์ 4L หากมีความวิบากมาก ผู้ขับควรเหยียบคันเร่งให้สม่ำเสมอและพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คลัตช์ให้น้อย ที่สุด นอกจากนั้น กระจกมองข้ามยังมีประโยชน์ในการสังเกตด้านข้างของรถยนต์กับแนวไม้ตามข้างทาง ที่เป็นอุปสรรค...

OFF ROAD FOCUS BLOG เพื่อคนรักการผจญภัยและท้าทาย


"บล๊อค ออฟโรด โฟกัส" แห่งนี้มีความตั้งใจที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มที่ใช้ศักยภาพของตนเอง จัดตั้งเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบการผจญภัยและท้าทาย ในพื้นที่ที่ ทุรกันดาร ห่างไกลจากเมือง ที่ยังขาดแคลนและยากลำบากในการเดินทางเข้าไปถึง แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคของ ออฟโรดเดอร์ เขามุ่งมั่นและตั้งใจที่จะบุกเบิกเปิดพื้นที่ไปยังสถานที่เหล่านั้น ไปสัมผัสกับความยากลำบาก เพื่อจะนำกลับมาบอกเล่าให้กับผู้คนในเมืองว่ายังมีสถานที่อีกมากมายภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่คนทั่วไปยังไปไม่ถึง แต่เขาเหล่านี้ทำได้ สามารถเอาชนะความยากลำบากและอุปสรรคการเดินทางในแบบที่ไม่มีถนน (off road) และความสำเร็จที่นำมาซึ่งความสุขที่คนทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้ ถ้าไม่ลองใช้ชีวิตแบบ off roaders ตัวจริง นอกจากนี้คนจะสัมผัสได้ถึงมิตรภาพและความเอื้ออาทร ที่คนเหล่านี้มีต่อกันอย่างลึกซึ้ง นี่คือบทพิสูจน์มิตรแท้ ของเหล่า off roaders ครับ และนอกจากนี้ผู้เขียนบล๊อคนี้ยังหวังไว้ว่าจะใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในด้านเทคโนโลยีด้านยนตกรรม กับผู้สนใจในเรื่องนี้ ดังนั้นหากท่านไม่รังเกียจที่จะร่วมเดินทางไปกับ เราทีมงาน off road focus เชิญกระโดดขึ้นมาร่วมทำหน้าที่เป็น navigator ได้เลยเราพร้อมจะออกเดินทางกันแล้ว ร นาที นี้เป็นต้นไป "OFF ROAD FOCUS BLOG" ยินดีต้อนรับครับ!!!