วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยาง ALL TERRAIN

ยางรถยนต์ประเภทออฟโรดทั้งยาง A/T และ M/T ต่างก็มีโครงสร้างยางเหมือนกันในแต่ละยี่ห้อ และมีการระบุขนาดของยางที่แตกต่างจากยางรถเก๋งโดยทั่วไป ทั้งนี้เพราะยางของรถออฟโรดมีความกว้างและความสูงซึ่งไม่ได้เป็นอัตราส่วน (เปอร์เซ็นต์) ระหว่างกัน จึงใช้การระบุตัวเลขของความสูง และกว้างอย่างชัดเจน เช่น 30/9.5 31x10.5 33x12.5 (มีหน่วยเป็นนิ้ว) วงล้อขนาด 15 นิ้ว ก็จะเป็น R15 ซึ่งทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ ส่วนยางของรถออฟโรดที่ระบุซีรี่ส์ เช่น 255/70 265/70 ฯลฯ ซึ่งมักใช้กับวงล้อขนาด 16 นิ้ว

     ยาง A/T มักจะเป็นยางที่หลายคนเลือกซื้อทันทีที่ได้รถใหม่ป้ายแดง หรือภายหลังจากที่ได้ทำการปรับแต่งยกสูง ช่วงล่าง และมักจะถูกเปลี่ยนเป็นยาง M/T ภายในเวลาไม่นาน เพียงเพื่อให้รถของคุณดูเข้ม หรือได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ ว่า ยาง M/T ดีกว่าด้วยประการทั้งปวง

     มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ ที่ยางชนิดหนึ่งชนิดใดจะเหมาะสมกับสภาพถนนทุกประเภท ทั้งทางเรียบ และเส้นทางออฟโรด ผมจึงย้ำอยู่เสมอว่า ควรซื้อยางชนิดที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวท่านเอง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จงอย่าตัดสินคุณภาพของยางจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม และอาจเสียเงินหลายเด้งโดยไม่จำเป็น

  

     ยาง A/T ในการใช้งานกว้างกว่ายาง H/T และยาง M/T เสียอีก เพราะดอกยางที่มีความหยาบปานกลาง ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งทางเรียบ และเส้นทางออฟโรดที่ไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไป เมื่อเปรียบเทียบการใช้งานของยาง A/T และ M/T บนสภาพถนนปกติ โดยใช้ยางที่มีขนาดเท่ากัน จะเห็นว่าหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนนนั้น A/T จะมีมากกว่า จึงทำให้การเกาะถนนที่ดีกว่า ทั้งการออกตัว การเบรก และการเข้าโค้ง จึงมีความปลอดภัยมากกว่า และยังมีอัตราการสึกของยางช้ากว่ายาง M/T เนื่องจากร่องของดอกยางที่แคบ จึงมีการกระจายน้ำหนักลงได้เต็มหน้ายาง และมีเสียงที่เงียบกว่า เพราะดอกยางที่ไม่หยาบมากนัก

     การใช้ยาง A/T บนเส้นทางออฟโรดก็สามารถใช้ได้ แต่คงต้องเป็นเส้นทางออฟโรดแบบกลางๆ ไม่โหดมากนัก ประมาณว่าเป็นทางลูกรัง ถนนชำรุด หรือการเข้าป่าในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูฝน เพราะระยะห่างของร่องยางไม่พอที่จะสลัดโคลนออกได้ การเข้าป่าในช่วงฤดูฝนก็เท่ากับเป็นการไปพังรถเล่นเท่านั้นเอง

     จะเห็นว่ายาง A/T เป็นยางที่มีการใช้งานได้กว้างกว่ายาง H/T (ซึ่งจำเพาะเจาะจงเส้นทางปกติที่ผิวเรียบ) การใช้ยาง H/T บนเส้นทางลูกรังเล็กน้อย ก็ทำให้ผู้ขับขี่เครียดได้เหมือนกัน เพราะต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากรถจะมีอาการร่อน เพราะหน้าสัมผัสยางจะลื่นไถลอยู่บนพื้นที่เป็นกรวด และดอกยางไม่สามารถจิกตะกุยอะไรได้เลย จึงทำให้การ ควบคุมรถไม่ดีเท่าที่ควร

     เมื่อเปรียบเทียบกับยาง M/T ซึ่งเหมาะกับการใช้งานบนเส้นทางออฟโรดมาเปรียบเทียบการใช้งานบนถนนทางเรียบ ยาง A/T จะมีดีกว่าทุกประการ โดยเฉพาะการใช้งานบนถนนที่เปียกลื่นจะเห็นผลแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยาง M/T จะดีกว่ายาง A/T ก็เฉพาะในเส้นทางออฟโรดเท่านั้น

     สรุปว่ายาง A/T เป็นยางที่มีประโยชน์อเนกประสงค์กว่ายาง H/T และยาง M/T ซึ่งเป็นยางที่ต้องการการใช้งานที่เจาะจง หากใช้งานผิดประเภทแล้ว จะสรุปว่ายางชนิดนั้นๆ ไม่ดี ก็เป็นการไม่สมควร เมื่อท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า ยางชนิดใดเหมาะสมกับท่านก็จงเลือกซื้อยางชนิดนั้นๆ ยาง A/T น่าจะเป็นทางเลือกสำหรับทุกคน เพราะมีความคุ้มค่า และประโยชน์ที่หลากหลาย หมาะสำหรับสามัญชนคนธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตปกติ มีการท่องเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุด หรือมีทริปคาราวานเป็นครั้งคราว ให้ความปลอดภัยสูง และเสียงเงียบไม่รบกวนหูขณะขับ

     ออฟโรดเดอร์ตัวจริง เสียงจริง คงมองข้ามยาง A/T ไปโดยไม่ใยดี....??


การเลือกยางออนโรดและออฟโรด


ยางเป็นสิ่งสิ่งเดียวที่เชื่อมระหว่างรถกับพื้นถนน ยางจึงมีบทบาทที่สำคัญต่อรถคุณอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น สมรรถนะการควบคุม บังคับขับขี่ ความนุ่มสบาย ระยะเบรก หรือการประหยัดน้ำมัน ดังนั้นลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยางที่มี คุณสมบัติแตกต่างกันด้วย

การขับขี่ในเมือง

คุณควรใช้ยางที่เหมาะสมกับลักษณะของถนนในเมืองนั้นๆ สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกยางสำหรับการขับขี่ในเมือง

- ระยะการเบรก
คุณควรเลือกยางที่มีระยะเบรกสั้นที่สุด (ทั้งถนนแห้งและเปียก) เพื่อให้คุณหยุดรถได้อย่างรวดเร็วหากพบสิ่งกีดขวางบนถนนอย่างกระทันหัน เช่น คนเดินถนนที่ไม่ระวังรถยนต์

- อายุการใช้งาน
สภาพการจราจรในเมืองมีความหนาแน่นและติดขัดอยู่ ตลอดเวลา ยางรถยนต์จึงต้องทำงานหนักจากการหยุดรถและการออกรถในสภาพการจราจรดังกล่าว อันส่งผลให้ดอกยางสึกจากการที่เนื้อยางถูกเสียดสีกับพื้นถนน ดังนั้น คุณควรเลือกยางที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

- การประหยัดน้ำมัน
ยางที่มีแรงต้านทานการหมุนของล้อต่ำจะประหยัดน้ำมันได้ดีกว่ายางที่มีแรงต้านทานการหมุนของล้อสูง

คุณควรตรวจสอบยางรถยนต์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ายางไม่มีลักษณะของการสึกที่มากกว่าปกติหรือผิดปกติ รวมทั้งไม่มีการบวมบริเวณแก้มยางด้วย

คุณควรตรวจสอบความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง (รวมทั้งยางอะไหล่ด้วย) และควรทำการตรวจสอบในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่
ยางที่มีความดันลมยางต่ำ จะเพิ่มระยะเบรกให้ยาวขึ้น และทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้น

การขับขี่บนทางหลวงหรือทางด่วน

บุคคลโดยทั่วไปมักจะขับขี่รถยนต์บนทางหลวงหรือบนทางด่วนด้วยความเร็วสูง ซึ่งยางมีบทบาทสำคัญต่อการทรงตัวและสมรรถนะในการเกาะถนนของรถยนต์ รวมถึงการรักษาทิศทางการเคลื่อนที่ของ
รถยนต์ในสภาวะการขับขี่เช่นนี้

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกยางสำหรับการขับขี่บนทางหลวงหรือทางด่วน

- ระยะเบรก
คุณควรเลือกยางที่มีระยะเบรกสั้นที่สุด (ทั้งถนนแห้งและเปียก)

- ความนุ่มนวลในการขับขี่
คุณควรเลือกยางที่ให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่และเงียบสำหรับการเดินทางไกล

- การเกาะถนน
คุณควรเลือกยางที่มีสมรรถนะภาพสูง เพราะคุณลักษณะนี้จะทำให้ยางยึดเกาะถนนได้ดี

คุณควรตรวจสอบความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง (รวมทั้งยางอะไหล่ด้วย) และก่อนการเดินทางไกลทุกครั้ง โดยให้คุณทำการตรวจสอบในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ หากคุณตรวจสอบความดันลมยางในขณะยางร้อนหรือผ่านการวิ่งมาแล้วเกินกว่า 2 กิโลเมตร ให้คุณเพิ่มความดันลมยางอีก 4 ถึง 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (0.3 บาร์) จากความดันลมยางปกติที่แนะนำโดยผู้ผลิตรถยนต์

ข้อควรระวัง : รถออฟโรดหรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ (รถ 4x4) จะมีระยะเบรกที่ไกลกว่าระยะเบรกของ
รถเก๋ง เนื่องจากน้ำหนักของตัวรถที่มากกว่ารถเก๋ง
รถสปอร์ต

หากคุณชื่นชอบการขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วสูงที่เพลิดเพลินสนุก สนาน (การขับขี่แบบสปอร์ต) คุณควรเลือกยางที่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงและตอบสนองต่อการบังคับ ควบคุมที่แม่นยำ นอกจากนี้ คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการขับขี่รถยนต์และความความปลอดภัยบน ท้องถนนอย่างเคร่งครัด และหากคุณต้องการทดสอบความเร็วในการขับขี่ของคุณ คุณควรทดสอบในสนามแข่งที่มีความปลอดภัยเท่านั้น

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกยางสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต
- การเกาะถนน
คุณควรเลือกยางที่มีโครงสร้างฐานที่ดีและมีสมรรถนะเยี่ยม เพราะคุณลักษณะเหล่านี้จะทำให้ยาง
ยึดเกาะถนนได้ดี (ทั้งถนนเปียกและแห้ง)

- การทรงตัวของรถยนต์
คุณควรเลือกยางประเภทสมรรถนะสูง ซึ่งให้สมรรถนะการควบคุมทิศทางที่แม่นยำ (excellent directional precision) และทรงตัวในทางโค้งได้ดี

คุณควรตรวจสอบความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง (รวมทั้งยางอะไหล่ด้วย) และก่อนการเดินทางไกลทุกครั้ง โดยให้คุณทำการตรวจสอบในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ หากคุณตรวจสอบความดันลมยางในขณะยางร้อนหรือผ่านการวิ่งมาแล้วเกินกว่า 2 กิโลเมตร ให้คุณเพิ่มความดันลมยางอีก 4 ถึง 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (0.3 บาร์) จากความดันลมยางปกติที่แนะนำโดยผู้ผลิตรถยนต์

นอกจากนี้ คุณจะต้องหมั่นตรวจสอบสภาพการสึกของยางอย่างสม่ำเสมอ

การขับขี่รถออฟโรด (หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรถ 4x4)

การเลือกใช้ยางที่เหมาะสมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกองค์ประกอบ หนึ่งนอกเหนือไปไปจากการฝึกฝนเทคนิคการขับขี่ เพื่อให้คุณขับขี่รถออฟโรดด้วยความสนุกสนานและปลอดภัย

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกยางสำหรับการขับขี่รถออฟโรด

การขับขี่ในเส้นทางออฟโรด (เส้นทางทุรกันดารที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ)

คุณควรเลือกยางที่มีความแข็งแรงและสามารถทนต่อการกระแทกและการฉีกขาดได้ดี เช่น ยางออล
เทอเรน (All Terrain) ซึ่งเป็นยางที่เหมาะสำหรับเส้นทางออฟโรดที่เป็นทางลูกรัง หรือการเข้าป่าในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูฝน

นอกจากนี้ คุณควรเพิ่มลมยางให้มีแรงดันลมในอัตราสูงสุดที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนด เพื่อเพิ่มความสามารถของยางในการทนทานต่อการกระแทกในขณะที่คุณขับขี่รถยนต์ ด้วยความเร็วสูงในเส้นทาง
ออฟโรด หากลมยางอ่อน จะทำให้คุณไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้ และอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

การขับขี่บนพื้นทราย

คุณควรลดแรงดันลมยางลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยางในการยึดเกาะพื้นผิวเส้น ทางที่เป็นทราย เช่น หาดทราย หรือทะเลทราย โดยคุณสามารถลดแรงดันลมยางลงได้ตามระดับความยากลำบากในการ
ขับขี่บนเส้น ทางนั้น แต่ในขณะเดี่ยวกันคุณก็จะต้องลดความเร็วในการขับขี่รถยนต์ลงด้วย และเมื่อคุณได้ขับพ้นเส้นทางดังกล่าวแล้ว ให้คุณเติมลมยางกลับสู่ความดันลมปกติตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์

การขับขี่ในเส้นทางที่เป็นโคลน

คุณ ควรเลือกยางที่มีดอกยางขนาดใหญ่ เช่น ยางมัดเทอเรน (Mud Terrain) สำหรับการขับขี่ในเส้นทางที่เป็นโคลน เพราะดอกยางขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มความสามารถของยางในการยึดเกาะกับเนื้อดินใน โคลนได้เป็นอย่างดี จึงให้รถยนต์มีการขับเคลื่อนที่ดี

การลดแรงดันลม ยางออกบางส่วนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่ใน เส้นทางที่เป็นโคลน เพราะจำทำให้ยางสลัดโคลนออกได้ดีขึ้น

คุณไม่ควรเร่งเครื่องอย่างกระทันหันในเส้นทางที่เป็นโคลน เพราะจะทำให้ยางสูญเสียแรงยึดเกาะและทำให้ล้อหมุนฟรีได้

เมื่อคุณได้ขับพ้นเส้นทางดังกล่าวแล้ว ให้คุณเติมลมยางกลับสู่ความดันลมปกติตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์

การขับรถลุยน้ำ

ให้คุณใช้ลมยางปกติ ขับช้าๆ และรักษาความเร็วให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดคลื่นน้ำหรือน้ำสาดกระจาย

คุณควรตรวจสอบความดันลมยางและสภาพของยาง (รวมถึงยางอะไหล่ด้วย)ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง และคุณควรนำถุงมือ สายลาก ที่ตักดิน รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ที่ปั้มลม เกจวัดลมยาง แม่แรง และผ้าสำหรับรองปูนั่งไปด้วย